สวัสดีครับผม :) ตอนนี้ก็ได้ฤกษ์งามยามดี เหมาะแก่การเขียนบล็อก เพราะกำลังอยู่ช่วงคริสต์มาสพอดี (เกี่ยวมั้ย 555) ได้หยุดกันประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อนๆหลายคนที่ STK ก็กลับบ้านกัน ใจจริงก็แอบรู้สึกอิจฉา บางคนนี่ลากกระเป๋ามาโรงเรียน แบบว่าเตรียมพร้อมมาก เรียนเสร็จตรงไปสถานีรถไฟเลยทีเดียว แต่สำหรับคนเอเชียอย่างเราๆเนี่ยะสิ ค่าตัวเครื่องบินมันแพง แถมใช้เวลาเดินทางนานอีก รู้สึกไม่คุ้ม แถมมาอยู่ทั้งที ก็ขอใช้ชีวิตที่นี่ ให้มันเต็มที่หน่อย แต่จะอยู่แต่ Karlsruhe คนเดียว เหงาๆ ก็กระไรอยู่ (ประเด็นคือ จะไม่ค่อยนอยด์ ถ้ายังมีคนอื่นอยู่ที่นี่ไง แต่เล่นถามใครก็กลับบ้าน ไม่ก็ไปเที่ยวซะหมด) ซึ่งตอนนี้ กำลังอยู่บนรถ Flixbus เดินทางไป Kiel เพื่อไปหาป้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11 ชั่วโมงได้ (แทบจะเหมือนบินกลับไทยอยู่ละ 555) แถม Flixbus มี Wi-Fi ให้ใช้ฟรีด้วย เลยจัดไป มาอัพเดตกันซักหน่อย ซึ่งถ้ามีโอกาส จะมาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับ รถไฟ รถบัสระยะไกล (คือไม่ยากเรียกรถทัวร์อะ มันฟังดูเชยๆยังไงไม่รู้ 55) ว่ามันมีข้อดีข้อเสียยังไง แต่ว่าตอนนี้ กลับเข้าเรื่องของเราก่อนดีกว่า part 2 ของสถานทูตเยอรมัน ที่เราไปจะประสบพบเจอมา...
เมื่อได้เวลาตามนัดเพื่อไปสัมภาษณ์ ก็เตรียมเอกสารเรียบร้อย ที่เคยพูดไปเมื่อบทที่แล้ว ซึ่งไปถึงก่อนเวลา เลยนั่งรอโง่ๆด้านนอก นั่งไปจนเกือบจะถึงเวลา ก็เดินไปหาพี่เจ้าหน้าที่ พี่เค้าบอกให้เราเข้าไปกดบัตรคิวด้านในเลย เพราะวันนี้คนไม่ค่อยเยอะ (รู้อย่างงี้ ไปถามพี่เค้าตั้งนานละ มีคนแซงเราไปไม่รู้เท่าไหร่ - -' แนะนำให้ลองถามดูเลย ไม่เสียหลาย เน้อะๆๆๆ) พอมาถึงช่วงสัมภาษณ์ เรากลับชิวๆ แทบไม่ได้ถามอะไรเลย (สงสัยเพราะมีพ่อเยอรมันเป็น Back up ไปกับเราด้วยมั้ง 55) เลยไม่รู้จะเขียนอะไรดี พาร์ทนี้เลยอาจจะช่วยอะไรไม่ค่อยได้ ก็ได้แต่แนะนำว่า เตรียมเอกสารให้ดีที่สุดละกัน อย่างตอนกรอกใบ National Visa มีข้อนึงที่ไม่มั่นใจ ก็เว้นเอาไว้ ถ้ามีปัญหา เค้าก็จะบอกเราให้เขียนเพิ่มหรือแก้เอง จากนั้นก็ต้องจ่ายตังค์ เป็นอันเสร็จสมบูรณ์(สรุปแล้ว เรื่องการยื่นเอกสารขอวีซ่าครั้งนี้ เป็นครั้งเดียวที่ไม่ต้องไปรอบ 2 แหละ ดีใจโคตร 555) แล้วก็กลับบ้านนอนรอ 3 สัปดาห์ กับอีก 2 วันทำการ หรือจนกว่าจะมีคนโทรมา