25.12.16

Schritt 8: ณ สถานทูตเยอรมัน (ตอนที่ 2)

สวัสดีครับผม :) ตอนนี้ก็ได้ฤกษ์งามยามดี เหมาะแก่การเขียนบล็อก เพราะกำลังอยู่ช่วงคริสต์มาสพอดี (เกี่ยวมั้ย 555) ได้หยุดกันประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อนๆหลายคนที่ STK ก็กลับบ้านกัน ใจจริงก็แอบรู้สึกอิจฉา บางคนนี่ลากกระเป๋ามาโรงเรียน แบบว่าเตรียมพร้อมมาก เรียนเสร็จตรงไปสถานีรถไฟเลยทีเดียว แต่สำหรับคนเอเชียอย่างเราๆเนี่ยะสิ ค่าตัวเครื่องบินมันแพง แถมใช้เวลาเดินทางนานอีก รู้สึกไม่คุ้ม แถมมาอยู่ทั้งที ก็ขอใช้ชีวิตที่นี่ ให้มันเต็มที่หน่อย แต่จะอยู่แต่ Karlsruhe คนเดียว เหงาๆ ก็กระไรอยู่ (ประเด็นคือ จะไม่ค่อยนอยด์ ถ้ายังมีคนอื่นอยู่ที่นี่ไง แต่เล่นถามใครก็กลับบ้าน ไม่ก็ไปเที่ยวซะหมด) ซึ่งตอนนี้ กำลังอยู่บนรถ Flixbus เดินทางไป Kiel เพื่อไปหาป้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11 ชั่วโมงได้ (แทบจะเหมือนบินกลับไทยอยู่ละ 555) แถม Flixbus มี Wi-Fi ให้ใช้ฟรีด้วย เลยจัดไป มาอัพเดตกันซักหน่อย ซึ่งถ้ามีโอกาส จะมาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับ รถไฟ รถบัสระยะไกล (คือไม่ยากเรียกรถทัวร์อะ มันฟังดูเชยๆยังไงไม่รู้ 55) ว่ามันมีข้อดีข้อเสียยังไง แต่ว่าตอนนี้ กลับเข้าเรื่องของเราก่อนดีกว่า part 2 ของสถานทูตเยอรมัน ที่เราไปจะประสบพบเจอมา...

เมื่อได้เวลาตามนัดเพื่อไปสัมภาษณ์ ก็เตรียมเอกสารเรียบร้อย ที่เคยพูดไปเมื่อบทที่แล้ว ซึ่งไปถึงก่อนเวลา เลยนั่งรอโง่ๆด้านนอก นั่งไปจนเกือบจะถึงเวลา ก็เดินไปหาพี่เจ้าหน้าที่ พี่เค้าบอกให้เราเข้าไปกดบัตรคิวด้านในเลย เพราะวันนี้คนไม่ค่อยเยอะ (รู้อย่างงี้ ไปถามพี่เค้าตั้งนานละ มีคนแซงเราไปไม่รู้เท่าไหร่ - -' แนะนำให้ลองถามดูเลย ไม่เสียหลาย เน้อะๆๆๆ) พอมาถึงช่วงสัมภาษณ์ เรากลับชิวๆ แทบไม่ได้ถามอะไรเลย (สงสัยเพราะมีพ่อเยอรมันเป็น Back up ไปกับเราด้วยมั้ง 55) เลยไม่รู้จะเขียนอะไรดี พาร์ทนี้เลยอาจจะช่วยอะไรไม่ค่อยได้ ก็ได้แต่แนะนำว่า เตรียมเอกสารให้ดีที่สุดละกัน อย่างตอนกรอกใบ National Visa มีข้อนึงที่ไม่มั่นใจ ก็เว้นเอาไว้ ถ้ามีปัญหา เค้าก็จะบอกเราให้เขียนเพิ่มหรือแก้เอง จากนั้นก็ต้องจ่ายตังค์ เป็นอันเสร็จสมบูรณ์(สรุปแล้ว เรื่องการยื่นเอกสารขอวีซ่าครั้งนี้ เป็นครั้งเดียวที่ไม่ต้องไปรอบ 2 แหละ ดีใจโคตร 555) แล้วก็กลับบ้านนอนรอ 3 สัปดาห์ กับอีก 2 วันทำการ หรือจนกว่าจะมีคนโทรมา

11.12.16

Schritt 7: เก็บตกก่อนยื่นวีซ่า

กลับมาอีกครั้งแล้ว พร้อมกับตอนต่อไป หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้ว ตั้งใจจะเขียน ก็หาเวลาปลีกตัวมาไม่ได้เลย บางคนอาจรอจนขี้เกียจเข้ามาดูบล็อกกันไปแล้ว 555 แถมที่จริงตอนนี้ยังมีการบ้านที่ทำไม่เสร็จอีก บทนี้ก็ออกแนวบ่นๆให้ฟังมากกว่า (พูดดีๆก็คือ เล่าวีรกรรมให้ฟัง เป็นตัวอย่าง 555) เป็นวีรกรรมหลังจากส่งเอกสารสมัครมหาลัย อาจจะได้ประโยชน์บ้าง หรือไม่ได้เลยก็ไม่รู้เนอะ (แต่ที่แน่ๆ ตอนท้าย สาระแน่นอน) ยังก็ไม่อยากเกริ่นให้เสียเวลาละ ขอเข้าเรื่องเลยละกันเนอะ

วาร์ปข้ามมา หลังจากที่เราส่งเอกสารไปเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องรอทางมหาลัยตอบกลับ
2 วันผ่านไป หลังจากที่เอกสารถึงมือทุกที่เรียบร้อย ก็ได้รับ E-Mail ฉบับแรกจาก KIT รวดเร็วมาก ตื่นเต้นสุดๆตอนที่กดเข้าไปดูเมลล์ พอกดปุ๊ป มีใจความอยู่ว่า "เอกสารคุณไม่ครบ โดยขาดใบจบม.ปลาย"

...ห้ะ!!?? เกิดอะไรขึ้น... ทั้งๆที่เราก็ส่งทุกอย่าง เย็บไปชุดเดียวกัน ทำไมถึงขาดแค่ใบเดียวเดียว แต่ทว่า ที่นี่ใจดี อนุญาตให้แสกนส่งไปใหม่ทาง E-Mail ได้ เราก็จัดการส่งไปอีกรอบทันที (เหตุผลอาจเป็นเพราะว่า เราไม่ได้ใช้ใบปพ.2 ที่เป็นเหมือนประกาศนียบัตร เอาไปแปล แต่เราใช้เอกสารที่รร. ออกให้เป็นภาษาอังกฤษแทน ซึ่งข้อความมันเขียนไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ บวกกับใบจากเขตการศึกษาที่พี่ DAAD แนะนำให้ไปหาเพิ่ม แต่เราทำไม่ได้ ยังจำได้มั้ย 55)
อีกไม่กี่ชม.ต่อมา ก็ได้อีเมลล์ตอบกลับทันทีว่า "เอกสารผ่านเรียบร้อย ให้ไป download ใบตอบรับได้ที่บัญชีออนไลน์" วันนั้นรู้สึกดีใจมาก เป็นอันเสร็จพิธีไปหนึ่งอย่าง อย่างน้อย ก็มีที่ๆให้ขอวีซ่าได้ละ 555

2 อาทิตย์ผ่านไป ก็ได้รับเมลล์มาเรื่อยๆ จาก Uni-Assist ว่าเอกสารถึงแล้ว เงินได้ถูกหักจากบัตรเครดิตเรียบร้อยแล้ว บลาๆๆ มันยังไม่ใช่สาระสำคัญซักที เพราะเรารอใบตอบรับอยู่ ซึ่งหน้าเว็บมันก็เขียนอยู่ว่า 4-6 สัปดาห์ จะนานไปไหนก็ไม่รู้ แต่ก็แอบหวังนิดๆ เข้าหน้าเว็บทุกวัน ก็ได้แต่เห็นสถานะว่า เอกสารถึงแล้ว รอการตรวจสอบ

26.11.16

Schritt 6: เรื่องเงิน เรื่องใหญ่!!

หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนานร่วม 3 อาทิตย์ ยอมรับว่ายุ่งมาก พยายามจะมาเขียนทุกอาทิตย์ แต่มันช่างหาเวลายากเหลือเกิน แล้วก็ตั้งใจจะเขียนตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่เน็ตใช้ไม่ได้ทั้งวันเลย ฮืออออ
อีกอย่าง ช่วงนี้ก็เริ่มเข้าเดือนธันวาคม ไฮไลต์ของที่นี่ และหลายๆที่ในยุโรปคือ ตลาดวันคริสต์มาส นั่นเอง ภาษาเยอรมันก็จะเรียกว่า Weihnachtsmarkt (แต่บางที่ทางตอนใต้ รวมถึงKarlsruhe เรียกว่า Christkindlesmarkt) ได้อารมณ์เหมือนกลับไปเดินตลาดนัดแถวบ้านดี เพราะที่นี่(Karlsruhe) ไม่ค่อยมีร้านขายของตามถนนเท่าไหร่ แต่ทว่าวันนี้ เราไม่ได้มาพูดเรื่องนี้กัน อันนี้เดี๋ยวเก็บไว้เล่าคราวหน้านะ 555
ภาพ Sample 555 อาจดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะถ่ายไม่เก่ง แถมยังสว่างอยู่เลย

เพราะว่า หัวข้อก็เกริ่นไว้ซะขนาดนี้ วันนี้จะมาพูดถึงการเปิดบัญชี Blocked Account
ถ้าถามว่า มันคืออะไร ใช้ทำอะไร จำเป็นมั้ย ต้องทำยังไง เดี๋ยวจะพยายามเล่าให้ละเอียดที่สุดละกัน :)

Blocked Account (หรือ Sperrkonto) คือบัญชีที่จำกัดวงเงินการถอนในแต่ละเดือนของเรา
เอาไว้ใช้เป็นหลักฐานทางการเงิน ในการยื่นขอวีซ่านั่นเอง
และถ้าถามว่าจำเป็นต้องเปิดบัญชีมั้ย ก็ตอบได้เลยว่า ไม่จำเป็นต้องเปิด แต่ไม่แนะนำ โดยเราสามารถแสดงหลักฐานอื่นๆได้ เช่น...

6.11.16

Schritt 5: ณ สถานทูตเยอรมัน (ตอนที่ 1)

กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่อาทิตย์ที่แล้วยุ่งๆ เลยไม่มีเวลามาเขียน อาทิตย์หน้าก็มีสอบเลขอีก (ซึ่งอยากบอกว่า มัน ยาก มากกกกกก) แต่ก็อยากเจียดเวลาตัวเอง มาอัพเดตบล็อกซักหน่อย เดี๋ยวทุกๆคนจะรอนานเกิน แล้วก็ต้องขอขอบคุณทุกการติดตามด้วยนะครับ แค่เห็นมีคนมาอ่าน ก็ทำให้มีกำลังใจอยากจะมาเขียนต่อเร็วๆละ อิอิ

ต่อจากบทที่แล้ว วันนี้จะมาขอพูดถึงประสบการณ์ (อันแสนเศร้า) ของตัวเองกับสถานทูตเยอรมัน เพราะแทบไม่มีครั้งไหนเลย ที่เรียกได้ว่า ไปครั้งเดียวจบ ต้องไป 2ครั้ง ตลอด รวมๆก็เกือบ 10 ครั้ง เรียกได้ว่าไปบ่อยกว่าบ้านเพื่อนอีก 55 จึงเป็นหนูทดลอง อยากมาขอเล่าให้ทุกคนจะได้รู้ว่าไม่ควรพลาดอะไรบ้าง จะได้ไปแล้วไม่ต้องมาใหม่

ยังจำกันได้ไหม เอกสารที่เราพักไว้ตั้งแต่บทที่แล้ว ได้เวลาหยิบมันกลับมา จัดเป็นชุดให้เรียบร้อย โดยวันนี้เราจะไปประทับตราเอกสารกัน เป็นเหมือนการยืนยันว่า เอกสารถูกต้อง ก่อนที่จะส่งไปเยอรมัน ถ้าไม่มีตราประทับ เค้าจะไม่ตรวจเอกสารเรานะ แล้วก็ไม่ต้องนัด ตรงไปที่สถานทูตได้เลย (รู้ใช่มั้ย อยู่ตรงไหนอะ) ตั้งแต่เช้า ประมาณ 8 โมง ถึง 11 โมงครึ่ง แนะนำให้ไปเช้าๆ คิวจะได้ไม่ยาว แล้วจะได้รอรับเอกสารเลย แต่คำว่าคิดไม่ยาว ก็ต้องรออยู่ดีอะแหละ -.-'

ซึ่งพอผ่านด่านตรวจ ก็บอกพี่พนักงานว่า "มาประทับตรา Transcript" เพื่อรับบัตรคิว โดยปกติแล้วจะเป็นเคาน์เตอร์ข่อง 5 โดยตัวเราอุตส่าห์ไปประมาณ 8โมงนิดๆ นิดจิงๆ ก็คิวที่ 5และ แถมความพิเศษของช่องนี้คือ เปิดจริงๆ 8โมงครึ่งจ้า ก็ต้องนั่งรอยาวๆ (มีครั้งนึงเห็นเปิด 8 โมง ยังไงก็ลองไปเสี่ยงดวงกันเองละกัน)

22.10.16

Schritt 4: เตรียมพร้อมเพื่อส่งใบสมัคร!!

แมวไม่อยู่ หนูร่างเริง...ครูไม่อยู่ นักเรียนก็ร่าเริง 555 เมื่อวานครูไม่สบาย สรุปแล้วได้เรียนแค่ 2 วิชา ชิวๆ 11โมงกว่าๆก็เลิกละ~ STK ที่นี่ เรียนวันละ 3 คาบเอง มีเวลาเหลือเที่ยวสบายเลย (แอบเห็นตารางเรียนของเพื่อนที่ไทย เรียนอะไรกันทั้งวันทั้งคืน อิจฉากันมั้ย 55) แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ หลังจากหาข้อมูลมานานแสนนาน ไฮไลท์สำคัญเมื่อเราอยู่ประเทศไทย คือการสมัครนั่นเอง!!

เราสมัครไป 3 ที่ อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วจากบทก่อนหน้า นั่นคือ Uni Göttingen, TU Dresden และ KIT วันนี้จะมาเจาะลึกเอกสารการสมัครกัน

1. KIT >> STK KIT
เอกสารที่ต้องใช้ : ใบสมัคร, Transcript, ใบจบม.6, ใบภาษา B1, CV
มาเริ่มกันที่เบสิค ง่ายมากๆ เพียงแค่กรอกรายละเอียดในเว็บนี้ https://movein-uni-karlsruhe.moveonnet.eu/movein/portal/studyportal.php แล้วปริ้นท์ใบสมัครออกมา แปะรูปถ่าย เซ็นชื่อ เตรียมเอกสารอื่นๆ แล้ววางพักไว้

2. Uni Göttingen >> STK Hannover
เอกสารที่ต้องใช้ : ใบสมัคร, Transcript, ใบจบม.6, ใบภาษา B1, (ค่าสมัคร 40 ยูโร)
ใบสมัคร กรอกออนไลน์ได้ที่ www.uni-goettingen.de/en/512011.html ปริ้นท์ใบสมัครออกมา เซ็นชื่อ ทีนี้ค่าสมัคร จ่ายได้ 2แบบ คือโอนเงิน(ซึ่งมีค่าธรรมเนียมธนาคารแน่นอน) กับ หักบัตรเครดิต โดยถ้าหักบัตรเครดิต ต้องปริ้นท์ใบยินยอม? ใบแจ้งความจำนง? (ไม่รู้เรียกอะไร ข้ามมันไป 55) แล้วก็อย่าลืมแนบพร้อมเอกสารอื่นไปด้วย เสร็จแล้วก็วางพักไว้เหมือนเดิม

15.10.16

Schritt 3: Studienkolleg สมัครที่ไหนดี?

เอาหละ มาถึงภาค 2 ของ STK กันละนะ หลังจากที่ได้รู้กันแล้ว ว่า STK มีกี่ประเภท ยังไงบ้าง ก็ต้องรู้ตัวเองด้วยนะ ว่าอยากจะเรียนอะไรในอนาคต เพราะการเรียนที่ STK จะแบ่งสายอย่างคร่าวๆ และวิชาเรียนก็จะต่างกันออกไปด้วย ได้แก่
T Kurs สำหรับสายเทคนิค หรือ วิทยาศาสตร์กายภาพ
M Kurs สำหรับสายการแพทย์ หรือ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
G Kurs สำหรับสายภาษา หรือ มนุษย์ศาสตร์
W Kurs สำหรับสายบริหาร หรือ สังคมศาสตร์

(ไม่เหมือนที่ไทยเนอะ จบสายวิทย์เรียนต่อได้ทุกอย่าง ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่แย่มาก แถมยังมีพวกจบสายศิลป์ แต่สอบหมอได้ เพราะอ่านหนังสือเอง อย่างงี้เด็กไทยถึงยังไม่มีประสิทธิภาพไง เราผลิตนักเรียนแบบจับฉ่าย ให้เราเรียนไปทุกอย่างก่อน แทนที่จะได้โฟกัสสิ่งที่สำคัญ อย่างเช่น วิชากพอ. งานบ้าน งานประดิษฐ์  ศิลปะ เรียนไปทำไมตอนม.ปลาย? ถ้าเราอยู่สายอาชีพ ค่อยเข้าใจหน่อย แล้วก็บ่นกันว่า ทำไมเวลาเรียนเยอะเหลือเกิน!... เน้นว่านี่เป็นความคิดส่วนตัว คิดเห็นยังไงก็มาแชร์ หรือคอมเมนต์กันได้นะ อยากฟังๆ)

ต่อไป ก็ได้เวลาเลือกแล้วหละ ว่าเราอยากเรียนที่ไหน คนที่รู้ตัวเอง เพราะมีญาติอยู่ใกล้ๆ หรือต้องการเมืองท้อปฮิตที่มีสีสันอย่าง Berlin ก็คงง่ายหน่อย แต่ทว่า(ปัญหามาอีกแล้ว 55) บางเมือง ถึงโชคดีที่มีSTK แต่ก็ไม่ได้มีสอนทุกคอร์สเสมอไปนะจ้ะ สำหรับเรา ที่ไม่เกี่ยงเรื่องเมือง และอยากเรียนต่อ Mathematik ก็ต้องมาเรียน T Kurs
ซึ่งโชคดีตรงที่ว่า มันเป็นเหมือนวิชาโหลๆอะ มีสอนทุกที่เลย 55 สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าที่ไหน มีสอนอะไรบ้าง ก็ขอแนะนำให้ดู List ของSTK ทั้งหมดที่เว็บนี้ www.studienkollegs.de นะ!

ทีนี้ เหมือนจะโชคดีที่เลือกได้ทุกที่ แต่ปัญหาก็ตามมาอีกว่า จะสมัครที่ไหนหละ?? ตัวเลือกมีเยอะเกิน จะสมัครทุกที่ก็กระไรอยู่ เลยต้องหาวิธีมาตัดช้อยส์ของเราให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทำเล ตัวเมือง ตัวมหาลัยเอง STK บลาๆๆ เราก็ต้องมาเปิดหารายละเอียดของทุกที่ เหนื่อยโคตรรร ใช้เวลาอยู่หลายวัน ก็บอกได้เลยว่า ไม่เป็นผลสำเร็จ (รู้สึกเสียเวลามาก ตอนนั้น) บางที่ก็แอบข้อมูลอย่างกะไม่อยากให้ใครมาสมัครอะ จนในที่สุด เราได้เจอเว็บหนึ่ง "มันดีมว้าก" ไม่มีภาษาอังกฤษนะ แต่อยากจะให้ทุกคนเห็น เพราะรายละเอียดครบจริง แทบไม่ต้องหาจากเว็บอื่นเพิ่มเลย แต่!(หักมุมเยอะจริงนะ 555) เว็บมันล่มไปแล้ว T.T ยังไงก็แปะลิงค์ไว้ก่อนละกัน www.deutsche-studienkollegs.com/studienkollegs

7.10.16

Schritt 2: จะเริ่มต้น ก็งงแล้ว...

สวัสดีอีกครั้งนะครับ :)
วันนี้เพิ่งเปิดเรียนวันที่ 2 ยังไม่ได้เริ่มอะไรมาก เลยมีเวลามาเขียนบทต่อไป ตัวเราเองอยากจะค่อยๆเขียนนะ เพราะว่า กลัวเดี๋ยวเขียนจบแล้ว บล็อกมันจะร้างอะสิ! ใครที่อาจกำลังหาข้อมูล หรืออยากรู้อะไรล่วงหน้า แนะนำให้ไปอ่านบล็อก หรือลิงค์ที่แปะไว้ให้ด้านข้างก่อน หรือจะถามมาโดยตรงก็ได้ ยินดีช่วยแน่นอน (ถ้าตัวเองรู้อะนะ 555)

โอเค เกริ่นพอละ มาต่อกันเถอะ... สมมติว่าใครมีความคิดที่ว่า จะเรียนต่อเยอรมันแน่นอน อันดับแรกที่ต้องทำ โดยไม่ต้องถามใครเลยคือ เรียนภาษาใช่ม้าาาา สำหรับใครที่ยังลังเล แนะนำให้ไปหาข้อมูลจากลิงค์ที่แปะให้ดู เพราะจุดประสงค์ของบล็อกนี้คือ เล่าประสบการณ์เนอะ (ประเด็นคือ อธิบายไม่ค่อยเป็นว่าทำไมถึงอยากให้มา 555) ระหว่างนี้ เราก็ควรจะเริ่มเตรียมเอกสาร แล้วก็ดูเมือง ดูมหาลัยว่าอยากจะเรียนที่ไหนไว้ด้วยนะ

ซึ่งบางคนอาจมีเป้าหมายไว้อยู่แล้ว นับเป็นความพยายามที่ดีมาก แต่ก็ต้องหยุดความฝันนั้นไว้ก่อน! เพราะสำหรับนักเรียนไทย (หรือชาติไหนก็ได้ ที่ไม่ได้จบ Abitur หรือหลักสูตรที่เยอรมันยอมรับ) เค้าจะไม่รับเราเค้าเรียนมหาวิทยาลัยแน่นอน เว้นแต่ว่า
1. ต้องเรียนมหาลัยในสาขานั้นๆมาแล้ว 2 ปี จึงสามารถมาเข้าเรียนปี 1 ใหม่ (โดยไม่สามารถโอนเกรดจากไทยได้)
2. ต้องมีใบประกาศ Feststellungsprüfung (FP) จะแปลก็คือ assessment test ที่จะนำเกรดที่ได้ ใช้ยื่นมหาลัยต่อไป

คำถามต่อมาคือ แล้วจะได้ใบประกาศนั้นได้อย่างไรหละ...
1. ขอสอบได้โดยตรงทันที ผ่านทาง Studienkolleg (ซึ่งไม่แนะนำเลย)
2. เรียน Studienkolleg ก่อน 1 ปี เพื่อสอบFP ตอนจบ (แนะนำมากๆๆๆๆ)

2.10.16

Schritt 1: มาเรียนภาษาเยอรมันกันเถอะ!

หลังจากที่ได้แนะนำตัวกันไปแล้ว (ใครยังไม่รู้จัก คลิกนี่นะ >>> Schritt 0: จุดเริ่มต้น)
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ ว่าจะเขียนแนวไหนดี แบบประสบการณ์ตัวเอง หรือเขียนเป็นแบบให้แนะนำ how-to... เอาเป็นว่า แล้วแต่อารมณ์คนเขียนละกัน (~.~)"

ตอนแรกที่อยู่ม.4 คิดว่าเรียนเยอรมัน ได้รู้เพิ่มอีกภาษาก็เท่ดี (มีพ่อเลี้ยงเป็นคนเยอรมันด้วย แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหลักหรอก เพราะเค้าก็ไม่ได้บังคับให้เราเรียนอยู่ดี) กับสถาบันสุดฮอต Goethe Institut นั่นเอง!! ตอนเรียนเล่มแรกนี่แบบ ง่ายโคตร แฮปปี้ รู้สึกว่าทำไมเก่งอย่างงี้ พอเจอเล่ม 2 เท่านั้นแหละครับพี่น้อง จำได้ว่า "die Schule" ทำไมมันกลายเป็น "an der Schule" คือนอกจากต้องท่องเพศแล้ว มันเปลี่ยนเพศได้ด้วยหรอ (ถ้าอยากรู้เหตุผล ทักมา ค่าสอนถูกๆ... แอบขายของหน่อย 55) แล้วคำศัพท์เริ่มจำไม่ไหว ท้อแท้มาก แต่ด้วยกำลังใจ และความอยากเท่ ;) เลยฮึดเรียนต่อมาเรื่อยๆ ยากบ้าง ง่ายบ้าง แล้วก็ต้องเริ่มกลับมาทวน


เรียนไปเรียนมา อยู่ดีๆก็รู้สึกว่า เรียนมาขนาดนี้ละ ไปเยอรมันต่อดีกว่า พร้อมกับอารมณ์ที่ว่า มหาลัยประเทศไทยไม่ใช่สไตล์เรา ทำไมต้องรับน้อง? กิจกรรมอะไรเยอะแยะ? ทำไมต้องบังคับให้นั่งดูคนอื่นเต้น? นั่งทำสแตนด์เชียร์กีฬาสีให้เว่อร์วังอลังการ ได้อะไร? (ก็เรามันไม่ใช่เด็กกิจกรรมนี่หว่า 55) เลยต้องมาเริ่มฟิตภาษา สละสิทธิ์มหาลัยที่ไทย เอาให้ตายไปข้าง แบบว่าถ้าไม่ติดที่เยอรมันนะ ก็ไม่มีที่เรียนกันไปเลย (โหดไปมั้ยอะ!) แต่ด้วยความพยายาม และจนถึงตอนนี้จะยังใช้ภาษาผิดๆ ถูกๆ ก็ยังสามารถสอบผ่าน B1 มาได้สำเร็จ

>> อยากให้กำลังใจคนที่มาเรียนภาษาทุกคนนะ มันต้องใช้เวลาแหละ เรียนไปเรื่อยๆ อย่าท้อ ส่วนตัวแล้วของใหม่เพิ่งเรียน ก็ต้องมีงงเป็นธรรมดา แต่ยิ่งเรียนมันจะช่วยทำให้เราเข้าใจของเก่าๆมากขึ้น เพราะเราได้เจอมันบ่อยขึ้นนั่นเอง ไม่มีใครเก่งได้เพราะเรียนแค่ในห้องหรอก <<

มาพูดถึงการสอบระดับ B1 ให้ฟังหน่อย (Goethe Zertifikat B1)
สอบ 4 part ด้วยกัน ฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ไฮไลต์ คือ สอบแยกพาร์ทได้ นั่นหมายถึง ถ้าตก ก็สอบซ่อมเฉพาะ part ได้นั่นเอง ไม่ต้องเสียตังค์ใหม่หมด แต่อยากจะโม้ว่า เราสอบครั้งเดียวผ่านหมด 55 ถ้าตั้งใจไม่ยากแน่นอน